เลือกหน้า
กรมอนามัย จับมือภาคีเครือข่ายร่วมหารือช่วย “ผู้มีบุตรยาก” เข้าถึงสิทธิการรักษา

กรมอนามัย จับมือภาคีเครือข่ายร่วมหารือช่วย “ผู้มีบุตรยาก” เข้าถึงสิทธิการรักษา

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ร่วมประชุมหารือกับหลายหน่วยงาน เพื่อหาแนวทางผลักดันสิทธิประโยชน์ด้านการช่วยเหลือภาวะมีบุตรยาก เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่มีภาวะการมีบุตรยาก

26 พฤศจิกายน 2563 นายแพทย์สุวรรณชัย  วัฒนายิ่งเจริญชัย รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอนามัยเป็นประธานการประชุมหารือแนวทางผลักดันสิทธิประโยชน์ด้านการช่วยเหลือภาวะมีบุตรยาก ณ ห้องประชุมนรพัฒน์ สำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย โดยมี  ศ.นพ.กำธร  พฤกษานานนท์  ประธานคณะอนุกรรมการเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย นพ.ดร.สรภพ เกียรติพงษ์สาร  ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนานโยบายสาธารณะ นพ.โอฬาริก มุสิกวงศ์ ประธานคณะอนุกรรมการการศึกษา ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย และนพ.พีระยุทธ สานุกูล ผู้อำนวยการสำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ นำเสนอข้อมูลเพื่อการพิจารณา และมีผู้เข้าร่วมประชุมจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กรมการแพทย์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และสำนักงานประกันสังคม

นายแพทย์สุวรรณชัย  วัฒนายิ่งเจริญชัย รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้มีการผลักดันร่างข้อเสนอสิทธิประโยชน์ด้านการช่วยเหลือภาวะมีบุตรยาก โดยดำเนินการ ดังนี้ 

1. จัดทำร่างข้อเสนอสิทธิประโยชน์ด้านการช่วยเหลือภาวะมีบุตรยาก โดยผนวกเข้ากับข้อเสนอการเข้าถึงการตั้งครรภ์คุณภาพโดยการเข้าถึงการรักษาโรคภาวะมีบุตรยากของราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยที่ผ่านตามเกณฑ์การคัดเลือกหัวข้อจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เรียบร้อยแล้วโดยจัดทำข้อเสนอเป็นทางเลือก 3 ระดับ ได้แก่ 
1) ให้สิทธิในการตรวจคัดกรองเบื้องต้น อาทิผู้หญิงสามารถตรวจคัดกรองความผิดปกติทางโครงสร้างของมดลูก โดยการตรวจภายในและตรวจอัลตราซาวด์ และสำหรับผู้ชายสามารถตรวจคัดกรองคุณภาพน้ำเชื้อหรือตรวจวิเคราะห์สเปิร์ม (Semen Analysis) เพื่อดูความแข็งแรงของอสุจิ 
2) การเข้าถึงการรักษาด้วยการฉีดเชื้อ (IUI) และ
3) การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) ทั้งนี้จะต้องจัดส่งภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563

2. ดำเนินการเตรียมความพร้อมในการจัดบริการในส่วนต่าง ๆ เพื่อรองรับการให้สิทธิการรักษาอาทิ การสร้างความเข้าใจ และปรับทัศนคติต่อการรักษาภาวะมีบุตรยาก ให้เข้าใจตรงกันว่าเป็นการรักษาโรค และเป็นสิทธิด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ที่ประชาชนมีสิทธิได้รับ รวมทั้งเตรียมความพร้อมการจัดบริการของสถานบริการสาธารณสุข โดยเฉพาะการจัดบริการรักษาด้วยการฉีดเชื้อกับสูตินรีแพทย์ที่มีศักยภาพในการดำเนินการได้ และ

3. หารือกับกระทรวงการคลังในการออกมาตรการลดหย่อนภาษี ให้กับคู่สมรสที่เข้ารับการรักษาภาวะมีบุตรยาก เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายและส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการมากยิ่งขึ้นด้วย” นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าว

ปีแรก! ไทยเผชิญ “อัตราการเกิดต่ำ” ชง “มีบุตรยาก” ถือเป็นโรค ให้สิทธิการรักษา

ปีแรก! ไทยเผชิญ “อัตราการเกิดต่ำ” ชง “มีบุตรยาก” ถือเป็นโรค ให้สิทธิการรักษา

หมอสูติฯ เสนอคณะกรรมการพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์ฯ รับภาวะมีบุตรยากเป็นโรค ให้เพิ่มสิทธิประโยชน์การรักษาหวังเพิ่มการเกิด หลังพบปี 63 อัตราเกิดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์!!

ศ.นพ.กำธร พฤกษานานนท์ ประธานคณะอนุกรรมการเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย เผยว่า ปี 2563 ถือเป็นปีแรกที่ไทยมีอัตราการเด็กเกิดใหม่ลดลงต่ำกว่า 600,000 คน ไทยเผชิญปัญหาเด็กเกิดน้อยต่อเนื่องมาหลายปี จากอัตราการเจริญพันธุ์รวม 5.1 คน ขณะนี้เหลือเพียง 1.51 คน จนต่ำกว่าอัตราที่เหมาะสม 2.1 คน ตามที่องค์การอนามัยโลกและธนาคารโลกกำหนดไว้ นำมาซึ่งปัญหาหลัก 2 ประการ คือ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว และปัญหาแรงงานข้ามชาติเข้ามาแทนที่ประชากรของประเทศ โดยก่อนหน้านี้ ประเทศญี่ปุ่นประสบปัญหานี้ก่อนไทย
 
ขณะเด็กที่เกิดมีอัตราน้อยอยู่แล้ว ยังพบปัญหาสุขภาพ เช่น เป็นโรคดาวน์ซินโดรม และอัตราการเสียชีวิตของแม่และเด็กเพิ่มขึ้น จากปัจจัยที่มารดาตั้งครรภ์เมื่อมีอายุมาก ดังนั้นเพื่อเพิ่มอัตราเกิด จึงเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ ยอมรับว่า “ภาวะการมีบุตรยาก” เป็นโรค และควรเพิ่มการรักษา โดยเข้าเป็นชุดสิทธิประโยชน์ในระบบสุขภาพ ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยไม่ต้องรอให้มีอายุมาก
กรณีเป็นโรคดาวน์ซินโดรม ปกติหากมารดาอายุต่ำกว่า 35 ปี โอกาสป่วยอยู่ที่ 1 ต่อ 800 แต่หากมารดาอายุมากกว่า 35 ปี โอกาสเพิ่มเป็น 1 ต่อ 350 และหากอายุ 40 ปี จะเพิ่มเป็น 1 ต่อ 100 ทั้งนี้ หากประชาชนเข้าถึงสิทธิประโยชน์รักษาภาวะมีบุตรยากจะช่วยให้อัตราเกิดเพิ่มขึ้นได้ อย่างเช่นหลายประเทศในยุโรป

ฉบับที่ 210 สิทธิการเข้าถึงบริการรักษาภาวะมีบุตรยาก ผลกระทบจากกฎหมายห้ามธุรกิจอุ้มบุญ

ฉบับที่ 210 สิทธิการเข้าถึงบริการรักษาภาวะมีบุตรยาก ผลกระทบจากกฎหมายห้ามธุรกิจอุ้มบุญ

รู้หรือไม่ ก่อนจะมีการออกพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ประเทศไทยเป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ ของผู้มีบุตรยากทั่วทุกมุมโลกในการเข้ามารับการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยการใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย แต่เนื่องจากไม่มีกฎหมายที่เข้ามาดูแลเป็นการเฉพาะทำให้เกิด “ธุรกิจอุ้มบุญ” โดยมีสาวไทยขายมดลูกอุ้มท้องแทนจำนวนหนึ่งแบบลับๆ

เรื่องแดงออกมาจากกรณีชาวต่างชาติจ้างหญิงไทย “อุ้มบุญ” เมื่อให้กำเนิดลูกแฝดแล้วคนหนึ่งปกติ อีกคนเป็นโรคดาวน์ซินโดรม สุดท้ายชายชาวต่างชาติก็รับเลี้ยงแค่เด็กที่มีความปกติเท่านั้น แล้วทิ้งเด็กดาวน์ซินโดรมไว้ให้แม่อุ้มบุญดูแล จนเป็นข่าวครึกโครม และเมื่อมีการสอบสวนเชิงลึกก็พบว่าชายชาวต่างชาติที่มาว่าจ้างหญิงไทยตั้งครรภ์นั้น เคยก่อคดีล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กหญิงมาแล้ว 2 ครั้ง จนถูกจำคุก

อย่างไรก็ตามปัญหาเกี่ยวกับการรับจ้างอุ้มบุญยังมีให้เห็นอยู่เนืองๆ ตลอดจนปัญหาการทอดทิ้งเด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีให้แม่อุ้มบูญชาวไทยดูแล เพราะพอผู้ว่าจ้างเห็นหน้าเด็ก เห็นลักษณะเด็กแล้วไม่พอใจ ปรากฏเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์อีก หรืออย่างกรณีคู่รักชาย – ชาย มาว่าจ้างหญิงไทยอุ้มบุญก็เคยเจอ จนนำมาสู่การออกพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ในปี 2558 ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์เป็นหลัก โดยห้ามซื้อ-ขายไข่ อสุจิ หรือสเปิร์ม และห้ามว่าจ้าง หรือรับจ้างตั้งภรรค์แทน หรือเรียกว่า “อุ้มบุญ” เด็ดขาด

สถานการณ์การใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์

การเข้าถึง(บริการรักษาภาวะมีบุตรยาก) ถ้าลงให้ลึกจริงๆ มีหลายสาเหตุ ทั้งเรื่องมาตรการช่วยเหลือผู้ที่มารับบริการรักษาภาวะมีบุตรยากยังมีไม่มากนัก เรื่องค่ารักษาไม่ได้รับการดูแลจากภาครัฐ การลางานไม่ได้ รวมถึงเมื่อมีโรคที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการมีบุตรยากประกันก็ไม่จ่าย เช่น ถุงน้ำในรังไข่ ซีสต์ พอผู้หญิงคนหนึ่งป่วยเป็นโรคนี้ บอกแพทย์ไปประกันไม่จ่ายทันที ถือว่าไม่เป็นธรรมมาก

รศ.นพ.กำธร พฤกษานานนท์ ประธานอนุกรรมการเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย
รศ.นพ.กำธร พฤกษานานนท์ ประธานอนุกรรมการเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย

รศ.นพ.กำธร พฤกษานานนท์ ประธานอนุกรรมการเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า ตามคำจำกัดความขององค์การอนามัยโลกระบุว่าผู้ที่แต่งงานกันแล้วและตั้งใจที่จะมีบุตร แต่ไม่มีภายในระยะเวลา 1 ปี ถือว่าเป็นผู้ที่มีภาวะมีบุตรยากควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและหาแนวทางรักษาต่อไป ส่วนคู่แต่งงานที่ฝ่ายภรรยามีอายุเกิน 35 ปีขึ้นไปไม่ต้องรอให้ถึง 1 ปี หากยังไม่ตั้งครรภ์ภายใน 6 เดือนก็ควรพบแพทย์ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการตั้งครรภ์เมื่ออายุมาก

ถ้าพูดถึงอัตราผู้มีปัญหาภาวะมีบุตรยากของไทยในปัจจบันมีอยู่ประมาณร้อยละ 10 – 15 ซึ่งมาจากหลายปัจจัยที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะปัจจุบันที่ฝ่ายหญิงมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงขึ้น จึงยังไม่อยากจะคิดถึงการมีบุตร การตั้งครรภ์ในขณะที่ยังมีความเจริญก้าวหน้า แต่จะเริ่มมาคิดถึงการตั้งครรภ์เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าทำให้เกิดปัญหาภาวะมีบุตรยากตามมา เพราะปัญหาเซลล์รังไข่เกิดสภาพไม่สมบูรณ์ ตกไข่ยาก หรือได้ไข่ที่ไม่ค่อยมีคุณภาพ เมื่อตั้งครรภ์แล้วก็แท้งง่าย เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีโรคประจำตัวของคนที่มีอายุมากเช่น เบาหวาน ความดัน หัวใจ รวมถึงความเครียดจากภาระงานที่พิ่มขึ้นจากความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทุกประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งสิ้น ทั้งนี้สาเหตุที่เกิดจากฝ่ายชายก็ไม่แตกต่างกัน

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาภาวะมีบุตรยากนั้นมีหลายวิธีการที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยแพทย์จะพิจารณาเป็นรายกรณี และเริ่มรักษาทีละสเต็ปจากน้อยไปหากมากคือ เริ่มจากการตรวจหาสาเหตุ หากพบว่าภาวะมีบุตรยากเกิดจากการมีโรคประจำตัวอะไรก็รักษาโรคนั้นๆ ก่อน เช่น ไทรอยด์ เบาหวาน ซีสต์ ความเครียด การใช้ยาหรือสารต่างๆ เป็นต้น เมื่อรักษาแล้วก็มีโอกาสตั้งภรรค์ หากแก้ไขปัญหาเบื้องต้นไม่สำเร็จจึงไปถึงการใช้เทคโนโลยีช่วยเหลือการเจริญพันธุ์

ทั้งนี้ เทคโนโลยีช่วยเหลือการเจริญพันธุ์มีหลายวิธีเช่นกัน เริ่มจากการคัดเชื้ออสุจิ ฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในรังไข่ หรือเรียกว่าผสมเทียม หรือกระตุ้นไข่ หากยังไม่สำเร็จก็ขยับไปอีกขั้นหนึ่งคือการทำเด็กหลอดแก้ว ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ประเทศไทยสามารถทำได้หมด

ฉบับที่ 210 สิทธิการเข้าถึงบริการรักษาภาวะมีบุตรยาก ผลกระทบจากกฎหมายห้ามธุรกิจอุ้มบุญ

ปัจจุบันประเทศไทยใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ด้วยการทำเด็กหลอดแก้ววิธีต่างๆ ประมาณปีละ 1 หมื่นรายตัวเลขเพิ่มขึ้นจากปีก่อนๆ แต่เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ และถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับอัตราผู้มีบุตรยากในประเทศไทย โดยคิดว่าไม่น่าจะถึงร้อยละ 10 ที่เป็นเช่นนี้สะท้อนว่าประชากรไทยที่มีปัญหายังรับรู้ และเข้าถึงบริการนี้น้อย เมื่อเทียบกับต่างประเทศที่มีอัตราการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ค่อนข้างมาก เช่น ญี่ปุ่น มีผู้รับบริการประมาณ 2 แสนรายต่อปี บางประเทศอัตรการเข้ารับบริการพุ่งถึง 4 แสนรายต่อปี

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประเทศไทยจะมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์มาช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก แต่ก็เพราะมีการเอาไปใช้ในเชิงธุรกิจ จนนำมาสู่การออกเป็นพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558

ซึ่งเมื่อกฎหมายดังกล่าวบังคับใช้ก็มีผลกระทบทั้งผลดี และผลเสีย โดยผลดีก็ทำให้ประเทศไทยอยู่ในร่องในรอยแบบที่สากลโลกเขาทำอยู่ แต่กรณีที่ 2 คือทำให้เรื่องการรักษาภาวะผู้มีบุตรยากโดยเทคโนโลยีเข้าช่วยนั้นทำได้ยากขึ้น เสียเวลามากขึ้น บางครั้งคนที่มีปัญหามีบุตรยากและต้องการมีบุตรจริงๆ เข้าถึงบริการน้อยลง

ที่จริงเรื่องการเข้าถึงน้อยลงถ้าลงให้ลึกจริงๆ มีหลายสาเหตุ ทั้งเรื่องมาตรการช่วยเหลือผู้ที่มารับบริการรักษาภาวะมีบุตรยากยังมีไม่มากนักเรื่องค่ารักษาไม่ได้รับการดูแลจากภาครัฐ การลางานไม่ได้ รวมถึงเมื่อมีโรคที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการมีบุตรยากประกันก็ไม่จ่าย เช่น ถุงน้ำในรังไข่ ซีสต์ พอผู้หญิงคนหนึ่งป่วยเป็นโรคนี้ บอกแพทย์ไปประกันไม่จ่ายทันที ถือว่าไม่เป็นธรรมมาก

นอกจากนี้สถานพยาบาลที่รักษาภาวะมีบุตรยาก ปัจจุบันที่มีอยู่ 70 แห่ง ถือว่าน้อยมากและส่วนใหญ่เป็นของเอกชน ซึ่งมีราคาแพง จากที่เข้าถึงบริการยากอยู่แล้ว ก็เลยยากที่จะเข้าถึงไปกันใหญ่

สำหรับหลักเกณฑ์การอุ้มบุญตามที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเข้มงวดนั้นไม่ได้เป็นปัญหา เช่น การหาคนมารับเป็นแม่อุ้มบุญนั้นจริงๆ ไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นคนสายเลือดเดียวกันเท่านั้น แต่หากเป็นหญิงที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกันก็จะต้องมีการตรวจสอบที่เข้มงวดหน่อย เพราะต้นกำเนิดของกฎหมายก็มาจากปัญหาเรื่องการมีธุรกิจรับตั้งครรภ์แทนเกิดขึ้น ซึ่งถ้าเป็นต่างประเทศจะนับเรื่องนี้เป็นปัญหาการค้ามนุษย์ด้วย

ข้อเสนอแนะสู่การแก้ไขปัญหา

เพราะฉะนั้นเรื่องกฎหมายนับว่ามีความเหมาะสม แต่ถ้าจะแก้ไขก็ต้องทำให้ผู้ที่มีปัญหามีบุตรยากเข้าถึงบริการรักษาได้ง่ายขึ้นต้องมีทางเลือก อันดับแรกคือการมี “สิทธิ” เดินเข้าไปในโรงพยาบาลได้โดยที่ไม่มีอุปสรรคเรื่องของเวลา เรื่องค่าใช้จ่ายเหมาะสม หรือบางส่วนควรได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และควรแก้ไขเรื่องที่ประกันไม่จ่ายสินไหมโดยอ้างว่าเพราะปัญหาการมีลูกยากทำให้มีปัญหาถุงน้ำในรังไข่ ซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวเลยก็ได้ นับว่าไม่มีความเป็นธรรมอย่างยิ่ง แต่เกาหลีบังคับเลยว่าบริทประกันห้ามปฏิเสธการจ่าย

สิ่งที่อยากเห็นจริงๆ คือการเปิดให้บริการรักษาผู้มีบุตรยากควรเปิดในสถานพยาบาลของรัฐถึงจะแก้ปัญหาได้ ในความเป็นจริงมันไม่ใช่เช่นนั้น ปัจจุบันภาครัฐไม่ได้จัดสรรคงบประมาณส่วนนี้ให้ ทำให้โรงพยาบาลรัฐไม่ตั้งหน่วยดูแลเรื่องนี้เพราะเก็บเงินไม่ได้ ดังนั้นหากรัฐเห็นว่าเรื่องนี้ควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ก็ควรตั้งในโรงพยาบาลรัฐ ซึ่งหากจะทำจริงๆ ศักยภาพที่มีนั้นสามารถทำได้ เพราะเรื่องที่ยากกว่านี้โรงพยาบาลรัฐก็สามารถทำได้ดี

รศ.นพ.กำธร กล่าวอีกว่า ถ้าดูสถานการณ์การเกิดในประเทศไทยตอนนี้ตอนนี้ลดลงไปมาก โดยอัตราเจริญพันธุ์รวม (Total Fertility Rates – TFR) เดิมอยู่ที่ 6 และลดลงมาเรื่อยๆ จนถึง 2.1 และปัจจุบันลงมาถึง 1.5 ภายในระยะเวลา 20 กว่าปี ในขณะที่องค์การอนามัยโลกถือว่าประเทศที่มีความมั่นคงทางประชากรควรจะมีอัตราเพิ่มประชากรอยู่ที่ 2.1 เพราะฉะนั้นถือว่าประเทศไทยอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง แต่เท่าที่ดูกลับไม่ค่อยมีมาตรการแก้ปัญหาอะไรมากนัก ไม่ตื่นเต้น ไม่มีมาตการส่งเสริมการเกิด รวมถึงดูแลรักษาภาวะมีบุตรยากก็เข้าไม่ถึง ในขณะที่ประเทศส่วนใหญ่ถือว่าเรื่องนี้เป็นสิทธิที่ประชาชนต้องเข้าถึง ในขณะที่นานาชาติหากอัตราเจริญพันธุ์รวมลดลงมาถึงระดับ 1.8 เขาจะต้องตื่นตัวในการหามาตรฐานมาส่งเสริมการเกิดให้เพิ่มขึ้น หรืออย่างประเทศญี่ปุ่นอัตราเจริญพันธุ์รวม ตอนนี้อยู่ที่ 1.46 ถึงกับตกใจมากและออกมาตรการมากมายเพื่อแก้ปัญหา และส่งเสริมการเกิดให้เพิ่มขึ้น

เรื่องนี้ประเทศไทยควรจะจริงจังได้แล้วเพราะตอนนี้ประเทศไทย เป็นสังคมผู้สูงอายุมาถึงเร็วกว่าที่คิดไว้ เด็กเกิดมา 1 คนอาจจะต้องดูแลพ่อ แม่ พี่ น้อง อีกจำนวนมากเพราะไม่มีคนมาหารเฉลี่ยด้วย แล้วปัญหาเรื่องเศรษฐกิจแรงงานก็ตามมาแน่นอน หากยังไม่ตื่นตระหนก หาทางแก้ไขอย่างจริงจัง อนาคตจะกระทบกับความมั่นคงของประเทศ เพราะที่เห็นเดินอยู่ตามถนนในเมืองไทยอาจจะเต็มไปด้วยชาวต่างชาติ

อัตราเจริญพันธุ์รวม (Total Fertility Rates – TFR) ของไทยปัจจุบันคือ 1.5 ในขณะที่องค์การอนามัยโลกถือว่าประเทศที่มีความมั่นคงทางประชากรควรจะมีอัตราเพิ่มประชากรอยู่ที่ 2.1 หากดำเนินต่อไปโดยไม่ได้รับการแก้ไข ไทยจะมีแต่ประชากรสูงวัยและขาดแคลนแรงงานซึ่งเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ “

ด้าน นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผอ.มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล บอกว่า ภายหลังจาก พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ บังคับใช้ก็เพื่อแก้ไขปัญหาการรับจ้างอุ้มบุญ ซึ่งถูกมองเป็นเรื่องการค้ามนุษย์ในสายตาของสังคมโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการรับจ้างอุ้มบุญจำนวนมากจริงๆ มีธุรกิจทางด้านนี้เกิดขึ้นเยอะ แต่หลังจากที่กฎหมายนี้ออกมาจะเห็นว่าสถานการณ์การรับจ้างอุ้มบุญในประเทศไทยก็ซาลงไปมาก

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกปัญหาหนึ่งที่โผล่ขึ้นมาจากการคุมเข้มเรื่องการ “อุ้มบุญ” คือ การเข้าถึงยาก ราคาแพง จนอาจจะทำให้ครอบครัวที่มีบุตรทำให้ตัดสินใจไปพึ่งการทำอุ้มบุญในต่างประเทศแทนด้าน นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผอ.มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล บอกว่า ภายหลังจาก พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ บังคับใช้ก็เพื่อแก้ไขปัญหาการรับจ้างอุ้มบุญ ซึ่งถูกมองเป็นเรื่องการค้ามนุษย์ในสายตาของสังคมโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการรับจ้างอุ้มบุญจำนวนมากจริงๆ มีธุรกิจทางด้านนี้เกิดขึ้นเยอะ แต่หลังจากที่กฎหมายนี้ออกมาจะเห็นว่าสถานการณ์การรับจ้างอุ้มบุญในประเทศไทยก็ซาลงไปมาก

นายจะเด็จ บอกอีกว่า สำหรับทางออก ทางเลือกสำหรับคนที่มีบุตรยาก สิ่งหนึ่งที่อยากให้มองสำหรับสังคมไทยตอนนี้จะเห็นว่าเรามีเด็กในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าอยู่เป็นจำนวนมาก ที่ผ่านมาก็มีหลายๆ ครอบครัวที่มีบุตรยาก มารับเด็กจากสถานสงเคราะห์ไปเป็นบุตรบุญธรรม แต่ก็ยังมีเพียงส่วนน้อย เพราะติดกับทัศนคติเดิมที่ว่า “เอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม” จึงไม่มั่นใจว่าเด็กที่โตมาจะเป็นอย่างไร

ฉบับที่ 210 สิทธิการเข้าถึงบริการรักษาภาวะมีบุตรยาก ผลกระทบจากกฎหมายห้ามธุรกิจอุ้มบุญ

ตรงนี้ต้องบอกว่าคุณภาพของเด็กต่างก็อยู่ที่การเลี้ยงดู เมื่อเด็กได้รับการเลี้ยงดูที่ดี อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี เด็กคนนั้นก็สามารถเป็นคนที่มีคุณภาพของสังคมไทยได้ เพราะฉะนั้นสังคมไทยต้องปรับทัศนคติตรงนี้ หากอยากมีบุตรจริงๆ แล้วติดขัดในข้อกฎหมายก็สามารถใช้ทางเลือกนี้เป็นทางออกได้

ขณะเดียวกันภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ควรสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนด้วย โดยอาจจะนำเอาครอบครัวที่ประสบความสำเร็จจากการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม ที่พร้อมจะเปิดเผยข้อมูล มาช่วยกันรณรงค์ให้เห็นเป็นตัวอย่างด้วย ไม่ใช้ออกกฎหมาย ออกมาตรการบังคับใช้อย่างเดียว

ฉบับที่ 210 สิทธิการเข้าถึงบริการรักษาภาวะมีบุตรยาก ผลกระทบจากกฎหมายห้ามธุรกิจอุ้มบุญ

พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ 2558

สาระหลักตามกฎหมายสามารถแบ่งได้ดังนี้

ผู้มีที่ต้องการให้มีการตั้งครรภ์แทน

มาตรา 21 ระบุว่า ต้องเป็นสามีและภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมาย มีสัญชาติไทย ถ้าคนใดคนหนึ่งไม่มีสัญชาติไทยก็ต้องจดทะเบียนสมรสมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี ทั้งนี้แพทย์ต้องรับรองว่ามีบุตรยากและต้องการมีบุตรโดยการตั้งครรภ์แทน

ผู้รับตั้งครรภ์แทน

หญิงที่รับตั้งครรภ์แทน คือ ต้องมิใช่บุพการีหรือผู้สืบสันดานของสามีหรือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายตาม แต่เป็นญาติสืบสายโลหิต ในกรณีไม่มีญาติสืบสายโลหิตและต้องใช้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข อย่างไรก็ตามหญิงที่ตั้งครรภ์แทนต้องเคยมีบุตรมาก่อน และต้องได้รับความยินยอมจากสามีก่อน

วิธีการตั้งครรภ์แทน

มาตรา 22 การตั้งครรภ์แทนมี 2 วิธี 1.ใช้ตัวอ่อนที่เกิดจากอสุจิของสามีและไข่ของภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายที่ประสงค์จะให้มีการตั้งครรภ์แทน และ 2.ใช้ตัวอ่อนที่เกิดจากอสุจิของสามีหรือไข่ของภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายที่ประสงค์จะให้มีการตั้งครรภ์แทนกับไข่หรืออสุจิของผู้อื่น ทั้งนี้ ห้ามใช้ไข่ของหญิงที่รับตั้งครรภ์แทน

มาตรา 23 ก่อนดำเนินการต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการให้ดําเนินการให้มีการตั้งครรภ์ก่อน หากฝ่าฝืนมีโทษตามมาตรา 47 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

คุณสมบัติของแพทย์ที่จะใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์

ถูกกำหนดไว้ในมาตรา 15 ระบุว่าต้องแพทย์ที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามและต้องปฏิบัติตามมาตรฐานในการให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ถ้าเป็นผู้มีคุณสมบัติมาทำจะมีความผิดตามมาตรา 46 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

ทั้งนี้ก่อนให้บริการ เกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ในมาตรา 16 ระบุเอาไว้ว่าแพทย์จะต้องตรวจและประเมินความพร้อมทางด้านร่างกาย จิตใจ และสภาพแวดล้อมของผู้ขอรับบริการ หญิงที่รับตั้งครรภ์แทน และผู้บริจาคอสุจิหรือไข่ที่จะนํามาใช้ดําเนินการ รวมทั้งการป้องกันโรคที่อาจมีผลกระทบต่อเด็กที่จะเกิดมาด้วย

ความเป็นบิดาและมารดาของเด็กและการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยี ช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์

มาตรา 29 เด็กที่เกิดมาเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งประสงค์จะมีบุตร

มาตรา 30 ถ้าสามีและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งประสงค์ให้มีการตั้งครรภ์แทนถึงเสียชีวิตก่อนเด็กเกิด ให้หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนเป็นผู้ปกครองเด็กคนนั้นนั้นจนกว่าจะมีการตั้งผู้ปกครองขึ้นใหม่โดยคํานึงถึงความผาสุกและประโยชน์ของเด็กนั้นเป็นสําคัญ

มาตรา 32 ให้สามีและภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งประสงค์ให้มีการตั้งครรภ์เป็นคนแจ้งการเกิดของเด็กที่เกิดจากการตั้งครรภ์แทนต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง ในกรณีสามีและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งประสงค์ให้มีการตั้งครรภ์แทนถึงแก่ความตายก่อนเด็กเกิด ไม่อยู่ในประเทศไทย หรือไม่ปรากฏตัวภายหลังจากการคลอดเด็กนั้น ให้หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนมีหน้าที่แจ้งการเกิด

มาตรา 33 ห้ามมิให้สามีและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย หรือสามีหรือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งประสงค์จะมีบุตรโดยการตั้งครรภ์แทนปฏิเสธการรับเด็กที่เกิดจากการตั้งครรภ์แทนดังกล่าว ฝ่าฝืนมีโทษตามมาตรา 49 จําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

มาตรา 41 ห้ามมิให้ผู้ใดซื้อ เสนอซื้อ ขาย นําเข้า หรือส่งออก ซึ่งอสุจิ ไข่ หรือตัวอ่อน ฝ่าฝืนมีโทษตามมาตรา 51 โทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

ข้อห้ามทำธุรกิจอุ้มบุญ

สำหรับประเด็นที่เป็นปัญหาจนนำมาสู่การออกพระราชบัญญัติดังกล่าวถูกกำหนดไว้ในมาตรา 24 ห้ามมิให้ผู้ใดดําเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าฝ่าฝืนมีความผิดมาตรา 48 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 2 แสนบาท

มาตรา 27 ห้ามมิให้ผู้ใดกระทําการเป็นคนกลางหรือนายหน้า ฝ่าฝืนมีความผิดตามมาตรา 49 ต้องระวางโทษ จําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

มาตรา 28 ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาว่ามีหญิงรับตั้งครรภ์แทนไม่ว่าจะได้กระทําเพื่อประโยชน์ทางการค้าหรือไม่ก็ตาม ฝ่าฝืนมีความผิดตามมาตรา 49 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ.

ไปแช่แข็งไข่กันก่อนดีไหม เผื่ออีกหน่อยอยากมีลูก

ไปแช่แข็งไข่กันก่อนดีไหม เผื่ออีกหน่อยอยากมีลูก

การเก็บรักษาไข่ด้วยวิธีการแช่แข็ง (OOCYTE CRYOPRESERVATION)

เป็นกระบวนการหรือเทคโนโลยีที่เริ่มมีคนให้ความสนใจมากขึ้น แต่เดิมการเก็บรักษาไข่ด้วยวิธีแช่แข็ง ทำในคนไข้ที่มีจำานวนไข่มากหลังการกระตุ้นไข่จากการทำเด็กหลอดแก้ว หรือแช่แข็งไข่ที่ได้รับการบริจาค แต่เนื่องจากปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคนิคในการแช่แข็งให้ดีขึ้น ทำให้อัตราความสำเร็จหลังการละลายไข่จนสามารถปฏิสนธิเป็นตัวอ่อนและตั้งครรภ์เพิ่มสูงขึ้นไม่ต่างจากการ ใช้ไข่ที่ไม่ได้ผ่านการแช่แข็ง จึงนิยมการเก็บรักษาไข่ด้วยวิธีแช่แข็งเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สองบริษัทยักษ์ใหญ่ได้แก่ บริษัท Facebook และ Google ได้ส่งเสริมให้พนักงานเก็บรักษาไข่ด้วยวิธีแช่แข็ง เพื่อให้พนักงานไม่ต้องกังวลเรื่องการรีบมีบุตร ทำให้สามารถทุ่มเทให้กับการทำงานได้มาก ยิ่งทำให้การเก็บรักษาไข่ด้วยวิธีการแช่แข็งได้รับความนิยมเพิ่มมากยิ่งขึ้น

ใครที่ควรเก็บรักษาไข่ด้วยวิธีการแช่แข็ง?

1. ผู้หญิงที่อายุ 35 ปีหรือมากกว่า ที่ยังไม่พร้อมจะมีบุตรขณะนี้
2. ผู้ที่บริจาคไข่ที่จำเป็นต้องเก็บรักษาไข่ด้วยวิธีการแช่แข็งก่อนนำไปใช้
3. ผู้ที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดรังไข่ เนื่องจากมีซีสต์หรือเนื้องอก เช่น Chocolate cyst
4. ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับยาเคมีบำบัดหรือฉายแสงที่มีผลทำให้การทำงานของรังไข่ลดลง
5. ผู้ที่มีความผิดปกติของโครโมโซมที่อาจทำให้ประจำเดือนหมดเร็วกว่าปกติ

ทำไมถึงต้องแช่แข็งไข่?

การเก็บรักษาไข่ด้วยวิธีแช่แข็ง เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้หญิงที่ยังไม่พร้อมที่จะมีบุตรในขณะนี้ ด้วยเหตุผลทางการแพทย์ข้างต้นหรือเพื่ออนาคต เนื่องจากผู้หญิงเมื่ออายุมากขึ้นโอกาสของการตั้งครรภ์จะลดลง โอกาสแท้งและโอกาสตั้งครรภ์ทารก ที่มีโครโมโซมผิดปกติเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นการแช่แข็งไข่ ณ ช่วงอายุที่เหมาะสมจึงเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยหยุดอายุไข่ไว้ ณ เวลาที่แช่แข็ง ช่วยเพิ่มโอกาสของการตั้งครรภ์ในอนาคตเมื่อมีความพร้อม

เมื่อไหร่ที่ควรแช่แข็งไข่?

ช่วงอายุที่เหมาะสมคือ น้อยกว่า35 ปี เพราะอายุที่มากขึ้นจะทำให้ปริมาณและคุณภาพไข่ลดลง

ขั้นตอนการเก็บรักษาไข่ด้วยวิธีแช่แข็ง

เริ่มจากการผ่านกระบวนการกระตุ้นไข่และการเก็บไข่ โดยการดูดผ่านทางช่องคลอดเหมือนการทำเด็กหลอดแก้ว แต่ต่างกันที่กระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว จะนำไข่ไปปฏิสนธิกับอสุจิจนเป็นตัวอ่อนและแช่แข็งตัวอ่อนที่เหลือจากการใช้ โดยตัวอ่อนที่แช่ไว้ สามารถเก็บไว้ได้นานเป็นสิบปี ในขณะที่การแช่แข็งไข่เป็นเทคโนโลยีใหม่ การศึกษาถึงปัจจุบันยืนยันว่าสามารถเก็บ ได้นานถึง 5 ปี และยังมีการศึกษาในเรื่องระยะเวลาการเก็บต่อไป

ประสิทธิผลของการรักษาโดยวิธีแช่แข็งไข่

โดยทั่วไปอัตราการรอดของไข่อยู่ที่ประมาณ 80 – 90% หลังละลาย อายุของผู้หญิง ณ วันที่แช่แข็งไข่เป็นตัวแปรสำคัญในการบอกโอกาสของความสำเร็จในการตั้งครรภ์ โดยจำนวนไข่ที่แนะนำให้แช่แข็งขึ้นกับอายุของผู้หญิง ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 15 ใบ แต่ถ้าอายุน้อยกว่า 35 ปีแนะนำให้แช่อย่างน้อย 8 – 10 ใบต่อการตั้งครรภ์ 1 ครั้ง (โอกาสของการตั้งครรภ์เท่ากับ 7% ต่อไข่ 1 ใบ)

ผลข้างเคียงของการรักษาโดยวิธีแช่แข็งไข่

ผลข้างเคียงที่อาจพบได้เกิดจากการกระตุ้นไข่และเก็บไข่ ไม่ต่างกับการทำเด็กหลอดแก้ว ได้แก่ อาจเกิดภาวะรังไข่ตอบสนองต่อการกระตุ้นมากเกินไป (Ovarian Hyperstimulation Syndrome) หรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ จากการเก็บไข่ ในขณะที่ความผิดปกติของเด็กในแง่ของโครโมโซมหรือความพิการแต่กำเนิดไม่ต่างจากการตั้งครรภ์ธรรมชาติ

เรื่องเล่าข่าวดีกับสายสวรรค์ พบกับวงดนตรีที่เกือบทั้งวงเป็น “คุณหมอ”

เรื่องเล่าข่าวดีกับสายสวรรค์ พบกับวงดนตรีที่เกือบทั้งวงเป็น “คุณหมอ”

เรื่องเล่าข่าวดีกับสายสวรรค์ พบกับวงดนตรีที่เกือบทั้งวงเป็น “คุณหมอ” ซึ่งเป็นเพื่อนกันมายาวนานกว่า 30 ปีตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์ ฝีมือการเล่นดนตรีระดับรองอันดับ 3 Coke Music Awards 1992 ที่ “โมเดิร์นด็อก” เป็นแชมป์ และ “สไมล์ บัฟฟาโล่” ได้อันดับ 2 หลังจากสวมเสื้อกาวน์เป็นหมอกันแล้วก็เล่นดนตรีเป็นงานอดิเรก กระทั่งเปิดหมวกเล่นดนตรีสดกลางสยามสแควร์นำเงินไปทำบุญเมื่อปลายปี 65 กระแสวง “Old Doc” จึงมาแรง คิวเล่นดนตรีแทบไม่ว่างเว้น แม้ภารกิจรักษาคนไข้จะหนัก แต่ทุกท่านยืนยันว่าจะไม่ทิ้งการเล่นดนตรี

ติดตามได้ในรายการเรื่องเล่าข่าวดี กับ สายสวรรค์
ตอน “Old Doc…วงดนตรีคุณหมอ
สร้างความสุขหลังรักษาคนไข้ด้วยเสียงเพลง”
แขกรับเชิญ : สมาชิกวง OLD DOC
นพ.พูนศักดิ์ สุชนวณิช
นพ.ธเนศ พัวพรพงษ์
นพ.เขษม์ชัย เสือวรรณศรี
นพ.กิติพจน์ งามละเมียด
นพ.สมนิมิตร เหลืองรัศมีรุ่ง
บัวบูชา ปุณณนันท์
วันพุธที่ 5 เมษายน 2566
เวลา 20:30-21:00น. ทางช่อง 5 HD