โรคมะเร็งปากมดลูก ( Cervical cancer)
เนื่องจากมะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับสองในผู้หญิงไทย การตรววจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้หญิงทุกคนควรตระหนัก การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยการดูเซลล์ จากปากมดลูก มี 2 วิธีหลัก คือ
- Conventional Papanicolaou smear
- Liquid – based cytology
เนื่องจากค่าใช้จ่ายของ Liquid – based cytology ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับ Conventional Papanicolaou smear การตรวจแต่ละวิธีจึงเลือกใช้ตามความเหมาะสมของสถานบริการ
ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย (RTCOG) แนะนำให้
- เริ่มตรวจคัดกรองที่อายุ 25-30 ปี โดยถ้าตรวจร่วมกับ HPV (CO-testing ) แนะนำให้ตรวจซ้ำทุก5 ปี แต่ถ้าตรวจโดยการดูเซลล์อย่างเดียว แนะนำให้ตรวจทุก 2 ปี
- หยุดตรวจได้ที่อายุมากกว่า 65 ปี ถ้าการตรวจก่อนหน้านี้ไม่พบความผิดปรกติในช่วง 10 ปี แต่ยังแนะนำให้ตรวจต่อในผู้หญิงที่มีความเสี่ยง
สาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูก
- การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย (ต่ำกว่า 17-18 ปี) ซึ่งเป็นช่วงที่มีการกลายรูปของเซลล์ปากมดลูกมาก และในช่วงนี้จะมีความไวต่อสารก่อมะเร็งสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเชื้อเอชพีวี
- น้ำหนักตัวเกิน
- มีคู่นอน หรือมีสามีหลายคน (ความเสี่ยงจะเพิ่มสูงขึ้นตามจำนวนคู่นอนที่เพิ่มขึ้น)
- มีประวัติเคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก่อน หรือเกิดการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เชื้อคลามีเดีย (ทำให้เป็นหนองในเทียม), หนองใน, ซิฟิลิส, เริม, เอชไอวี (ทำให้ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ำ และติดเชื้อเอชพีวีได้ง่าย) เป็นต้น
ปัจจัยเสี่ยงจากฝ่ายชาย
- เนื่องจากสาเหตุส่วนใหญ่ของการติดเชื้อเอชพีวีมาจากการมีเพศสัมพันธ์ จึงอาจกล่าวได้ว่า มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับการมีเพศสัมพันธ์ การที่ฝ่ายหญิงมีเพศสัมพันธ์กับ
- เดียวก็มีโอกาสทำให้ติดเชื้อเอชพีวีและเป็นมะเร็งปากมดลูกได้แล้ว โดยปัจจัยเสี่ยงจากฝ่ายชายซึ่งเป็นคู่นอนนั้น ได้แก่ ฝ่ายหญิงที่มีสามีเป็นมะเร็งองคชาต ฝ่ายหญิงที่แต่งงานกับฝ่ายชายที่เคยมีภรรยาเป็นมะเร็งปากมดลูก ฝ่ายชายมีคู่นอนหลายคน ฝ่ายชายมีประสบการณ์ทางเพศตั้งแต่อายุยังน้อย ฝ่ายชายเคยมีประวัติเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เริม หนองใน มีประวัติเป็นมะเร็งสืบพันธุ์อวัยวะเพศชาย ฝ่ายชายมีคู่นอนที่มีประวัติเป็นมะเร็งปากมดลูก
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์แบบเสรีหรือไม่ปลอดภัย เพื่อป้องกันการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะจากการติดเชื้อเอชพีวีและเอชไอวี
- ฝ่ายชายที่มีเชื้อเอชพีวี (ส่วนใหญ่ฝ่ายชายจะไม่มีอาการหรือตรวจไม่พบเชื้อ) แม้เพียงครั้งเดียว
การป้องกันมะเร็งปากมดลูก
วิธีป้องกันมะเร็งปากมดลูก
ดูแลรักษาความสะอาดของร่างกายและอวัยวะสืบพันธุ์ให้สะอาดอยู่เสมอ ฝ่ายชายควรสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ ทางเพศสัมพันธ์ (การใส่ถุงยางอนามัยอาจป้องกันการติดเชื้อไม่ได้ ถ้ามีรอยของโรคอยู่นอกบริเวณที่ถุงยางครอบคลุมไปไม่ถึง)
– การคุมกำเนิดโดยใช้ถุงยางอนามัย รับประทานผักและผลไม้ให้มาก ๆ เป็นประจำ ไม่สูบบุหรี่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และทำจิตใจให้เบิกบานแจ่มใส พยายามรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ในปัจจุบันได้มีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี (HPV vaccine หรือที่ทั่วไปเรียกว่า “วัคซีนมะเร็งปากมดลูก“)ซึ่งจะเริ่มฉีดให้เด็กหญิงตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไป โดยฉีดจำนวน 3 เข็ม (เข็มที่ 2 จะฉีดห่างจากเข็มแรก 2 เดือน ส่วนเข็มที่ 3 จะฉีดห่างจากเข็มที่สอง 6 เดือน) ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกเฉพาะที่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อเอชพีวี (พบได้ประมาณ 70% ของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก) 100% (สามารถป้องกันโรคได้ประมาณ 70%) และต้องมีข้อปฏิบัติเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการฉีดวัคซีนให้ได้ผลอีกด้วย ที่สำคัญที่สุดก็คือหมั่นตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำทุกปี เพื่อหามะเร็งปากมดลูกในระยะแรกที่ยังไม่แสดงอาการ (pap Smear) หากพบว่าเซลล์ปากมดลูกเริ่มมีความผิดปกติในระยะก่อนเป็นมะเร็ง (Precancerous) จะได้ให้การรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งได้ทัน แต่หากพบว่าเริ่มเป็นมะเร็งในระยะแรก (ก่อนแสดงอาการ) ก็จะได้ให้การรักษาให้หายขาดได้
อาการและระยะของมะเร็งปากมดลูก
โรคมะเร็งปากมดลูกนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 0 (ระยะเริ่มแรกก่อนเป็นมะเร็ง) จะเป็นระยะที่เซลล์ของปากมดลูกเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง และสามารถตรวจพบได้จากการตรวจ pap Smear แล้ว แต่ยังไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติอื่น ๆ จากการตรวจร่างกายได้
ระยะที่ 1 เป็นระยะที่เซลล์มะเร็งยังอยู่ในเฉพาะบริเวณปากมดลูกเท่านั้น
ระยะที่ 2 เป็นระยะที่มะเร็งลุกลามออกจากปากมดลูกไปบริเวณช่องคลอดส่วนบนหรือบริเวณอุ้งเชิงกราน แต่ยังไม่ลุกลามถึงผนังอุ้งเชิงกราน
ระยะที่ 3 เป็นระยะที่มะเร็งลุกลามเข้าไปจนถึงหรือติดผนังอุ้งเชิงกราน หรือก้อนมะเร็งมีการกดทับท่อไต ทำให้การทำงานของไตเสื่อมลงจนไตด้านนั้นไม่ทำงาน (อาจเป็นกับไตทั้งสองข้างก็ได้)
ระยะที่ 4 เป็นระยะที่มะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียงแล้ว คือ กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก หรือมะเร็งกระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ เช่น ตับ ปอด กระดูก สมอง ต่อมน้ำเหลือง
ข้อมูลอ้างอิง(Source)
หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป
2. “มะเร็งปากมดลูก (Cervical cancer)”. (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). หน้า 1159-1160.
3. หาหมอดอทคอม. “มะเร็งปากมดลูก (Cervical cancer)”. (พญ.ชลศณีย์ คล้ายทอง). [ออนไลน์].
เข้าถึงได้จาก : haamor.com. [08 มี.ค. 2016]. ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย. “ความรู้ เกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูก”. (รศ.นพ.จตุพล ศรีสมบูรณ์). [ออนไลน์].
เข้าถึงได้จาก : www.rtcog.or.th. [08 มี.ค. 2016].
ข้อมูลอ้างอิง(Source) : https://medthai.com/มะเร็งปากมดลูก/ | Medthai https://medthai.com/โดย เมดไทย
การฉีดวัคซีน HPV (Human Papillomavirus )
มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งปากมดลูก ดังนั้นการฉีดวัคซีน HPV ถือเป็นการป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ส่วนหนึ่ง
ชนิดของวัคซีน HPV ปัจจุบันมี 3 ชนิด
1.Bivalent/Cervari x ป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV ชนิด 16 & 18
2.Qoadrivalcnt/Gadasil ป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV ชนิด 6,11,16,18
3.Garasil-9/Nonavalent ป้องกันการติดเชื่อไวรัส HPV ชนิด 6,11,16,18
และเพิ่มอีก 5 สายพันธุ์ คือ 31,33,45,52,58
คำแนะนำในการฉีดวัคซีน HPV
1.ให้เริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 11-12 ปี ก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์ และฉีดได้ถึงอายุ 26 ปี
2. หากรับวัคซีนก่อนอายุ 15 ปี แนะนำให้ฉีด 2 เข็ม หลังอายุ 15 ปี แนะนำให้ฉีด 3 เข็ม
3. ไม่แนะนำให้ฉีดในสตรีตั้งครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์ใน 6 เดือน
4. หลังฉีด HPV Vaccine แล้ว ยังต้องทำการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกตามปกติ
5. สามารถฉีด HPV Vaccine ได้ในผู้ชาย อายุ 13-21 ปี เพื่อป้องกันการติดเชื้อ HPV ซึ่งสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งทวารหนัก มะเร็งองคชาติ มะเร็งช่องปากและคอหอย